วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ

สัญญาเช่าต่างตอบแทนพิเศษ หากว่าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ก็ไม่ต่างกับสัญญาเช่าธรรมดา เนื่องจากหากว่ามีการโอนทรัพย์ที่ให้เช่าไปยังบุคคลภายนอก ไม่ว่าบุคคลภายนอกจะสุจริตหรือไม่ก็ตาม ย่อมไม่ได้รับการคุ้มครอง เพราะว่าสัญญาต่างตอบแทนพิเศษเป็นนเพียงบุคคลสิทธิระหว่างผู้ให้เช่า(เดิม) กับผู้เช่า เท่านั้น
ตัวอย่างเช่น ก ให้ ข เช่าที่ดิน โดย ข ตกลงจะสร้างอาคารและยอมให้อาคารเป็นของ ก หลังจากครบสัญญาเช่า 15 ปี โดไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน สัญญานี้บังคับได้ 15 ปี ตามที่รู้กันนะครับ แต่หากว่า ก ผู้ให้เช่าโอนทรัพย์ไปให้ ค ก็หาก ค ไม่แสดงเจตนารับเอาสัญญาต่างตอบแทน ก็ไม่ผูกพันธ์ ค แต่อย่างใด บังคับใช้ได้เพียง 3 ปี เท่านั้น

บทบรรณาธิการเนติ ภาค 1 สมัย 65

บทบรรณาธิการเนติ ภาค 1 สมัย 65

ออกมาแล้วนะครับเล่มแรก มีประเด็นน่าสนใจไว้เยอะเลยครับ  มีประเด็นดังนี้ครับ
  1. การลงลายมือชื่อเป็นพยานในพินัยกรรม จำต้องลงในขณะทำสัญญาหรือไม่
  2. หลักฐานการกู้ยืม ไม่ได้ระบุชื่อผู้ให้กู้ ถือว่าเป็นหลักฐานได้หรือไม่
  3. เรื่องระยะเวลาในการอ้างบันดาลโทสะ
  4. การเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายเพื่อให้อัยการไม่ดำเนินคดี
  5. การทำให้เสียทรัพย์มีพยายามไหม
  6. ลักทรัพย์กับยักยอก
ใครที่สนใจก็โหลดได้ตามลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ


http://www.mediafire.com/?llueddokroxfhde



วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คำแนะนำและแนวทางการของการสอบผู้พิพากษา (อาจใช้ได้กับเนติ)

ผมท่องตัวบทประมาน 800-1000มาตรา คัดเฉพาะที่มันน่าจะออกสอบมาท่อง เวลาท่องก็ท่องให้จำได้เป๊ะๆอย่าไปใช้ความเข้าใจเขียนหรือสร้างตัวบทเอง เช่น ป.วิอาญามาตรา192 ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฎในทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ กล่าวมาในฟ้องในศาลยกฟ้องคดีนั้น เว้นแต่... เวลาเราตอบข้อสอบก็ควรเขียนไปแบบนี้เลยจะสละสลวยและได้คะแนนในส่วนนี้เต็ม อย่างแน่นอน แต่ถ้าใช้ความเข้าใจและสร้างตัวบทเองเช่น ป.วิอาญามาตรา192 ถ้าข้อเท็จจริงในศาลไม่เหมือนกับในฟ้องโจทก์ให้ศาลยกฟ้องเสีย แบบนี้แม้ความหมายจะเหมือนกันกับตัวบทแต่ท่านไม่ได้คะแนนอย่างแน่นอนหรืออาจ ได้น้อยมากถ้าเจอคนตรวจเคี่ยวๆเพราะท่านไม่มีความเป็นนักกฎหมายอยู่เลย

การท่องตัวบทไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับแต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ท่านไม่สามารถท่องตัวบท 800-1000 มาตราได้ใน 1 วัน 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน ส่วนตัวผมก็ใช้เวลาประมาน 6 เดือนกว่าจะจดจำได้หมดและเขียนได้คล่อง

ส่วนความเข้าใจในตัวบทนั้นๆย่อมต้องมีด้วยอย่างแน่นอนดังที่หลายๆท่านกล่าว มาในกระทู้ข้างล่าง การเข้าใจตัวบทและการจำคำในตัวบทให้ได้อย่างแม่นยำเป็นสองสิ่งที่ต้องมี ประกอบกันเพื่อให้คำตอบสมบูรณ์ ในชั้นเนตินั้นแม้ท่านมีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งท่านก็สามารถสอบผ่านได้ แต่ในการสอบชั้นผู้ช่วยหรืออัยการท่านต้องมีทั้งสองอย่างประกอบกันถึงจะ ประสบความสำเร็จครับ

ในการสอบครั้งที่ผ่านมาผมตอบข้อสอบถูกประมาณ 60% ครับแต่การวินิจฉัยของผมมีตัวบทที่ตรงตามในประมวลเป๊ะๆ+ความเข้าใจในตัวบท มาตรานั้นๆอธิบายอยู่ทุกข้อ แต่เหตุที่ตอบผิดเพราะผมอ่านฎีกามาน้อยบางฎีกาก็ไม่เคยเจอหรือไม่เคยอ่านเลย แต่ก็ประสบความสำเร็จผ่านมาได้ครับ คำถามสอบผู้ช่วยอัยการลักษณะการตั้งคำถามจะมี 2 ประเภทครับ 1.รู้แค่ตัวบทก็ตอบได้ 2.ต้องรู้ทั้งตัวบทและฎีกาถึงจะตอบได้ ซึ่งคำถามทั้งสองประเภทจะถามมาในสัดส่วนประมาน 30-70 ครับ กล่าวคือถ้าตัวบทท่านแม่นใน 10 ข้อ 3 ข้อท่านตอบถูกและกดคะแนนเต็มๆอย่างแน่นอนส่วนที่เหลืออีก 7 ข้อท่านก็ต้องอ่านฎีกาเยอะๆและภาวนาในฎีกาที่อ่านออกสอบด้วย

ผมต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่พิมพ์หรือเรียบเรียงไม่เก่ง แต่จะสรุปแค่ว่าถ้าท่านอยากจะประสบความสำเร็จในการสอบผู้ช่วยหรืออัยการท่าน ควรจะต้องท่องตัวบทให้เหมือนกับในประมวล เข้าใจตัวบทมาตรานั้นๆอย่างขึ้นใจ และหมั่นอ่านฎีกาของตัวบทนั้นๆครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ

ปล. ผมวันไม่พอมีแค่ 2 วัน คงตั้งกระทู้ได้อย่างเดียว คงไม่สามารถตอบกระทู้นี้อีกได้แล้วนะครับ (ข้างบนเขียนว่า 2 วันตอบกระทู้ได้แต่ผมลองตอบกระทู้อื่นแล้วตอบไม่ได้)

ประเด็นของ 289(2)กับ 289(3) จากอาจารย์ไกรฤกษ์

ประเด็นของอาจารย์ไกรฤกษ์ ครับ ระหว่าง 289(2) กับ (3) ข้อที่เหมือนกันคือ (ต้องคิดเป็นภาพเลยนะครับ) กรณีแรก ขณะที่จะเข้าไปทำหน้าที่/
หรือขณะที่จะเข้าช่วยเหลือ กรณีที่สอง ขณะที่ทำหน้าที่/หรือขณะที่ช่วยเหลือ กรณีที่สาม ขณะที่ได้ทำหน้าที่/หรือขณะได้ช่วยเหลือ(ทำหน้าที่หรือช่วยเหลือเสร็จแล้ว)

ตัวอย่าง ตำรวจกำลังขับรถไปจับบ่อน ยังไปไม่ถึง เท่ากับเป็นขณะที่จะไปทำหน้าที่ หากกำลังจับคนในบ่อนอยู่ เท่ากับว่าขณะทำหน้าที่อยู่ หากจับเสร็จเรียบร้อยแล้ว กับไปนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านแล้ว เป็นขณะที่ได้กระทำการตามหน้าที

ที่ต้องแยกเป็นเหตุการณ์เพราะส่งผลต่อความรับผิดของจำเลยนะครับ (2) หากว่าเป็นการกระทำขณะที่จะกระทำ กับ กรณีได้กระทำตามหน้าที่ มูลเหตุจูงใจของจำเลยในการฆ่าเจ้าพนักงานต้องมาจากการจะกระทำตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่เท่านั้น
ส่งผลถึงอนุสาม (3) หากว่าเจ้าพนักงานอยู่ขณะจะกระทำการตามหน้าที่ และผู้ช่วยเหลือจะเข้าไปช่วยเหลือหรือได้ช่วยเหลือ จะเข้า (3)นะครับ จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่หรือได้กระทำการตามหน้าที่แล้วเท่านั้น

มาดูตัวอย่างของ (2)ประเด็นอยู่ที่การปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานอยู่ขั้นตอนไหน และมูลเหตุจูงใจ
แดงตำรวจจะไปจับดำ ขณะขับรถไปจับดำ ขาวลูกดำรู้ จึงยิงแดงตายคารถ สังเกตุสองประเด็น แดงอยู่ในขณะจะกระทำการตามหน้าที่ และการที่ขาวยิงมีเหตุจูงใจจากการปฎบัติหน้าที่ของแดง เข้า (2)
กับอีกกรณีนึง หากว่าขาวยิงแดงเพราะเนื่องจากแดงไปเป็นชู้กับเมียของตนหละ? แม้ว่าแดงจะอยู่ในขณะจะกระทำการ แต่มูลเหตุจูงใจของขาวไม่ใช่เพราะแดงปฎิบัติหน้าที่ จึงไม่เข้า (2) หรือกรณีที่แดงไปจับบ่อนเสร็จเรียบร้อย นอนพักอยู่ที่บ้าน ขาวยิงแดงเพราะแดงไปจับบ่อน เข้า (2) กับกรณีเดียวกันหากยิงเพราะเหตุส่วนตัวอื่น ไม่เข้า (2)
สรุป หากเจ้าพนักงาน จะกระทำ หรือ ได้กระทำ ผู้กระทำความผิดต้องมีมูลเหตุจูงใจในการฆ่ามาจากการที่เจ้าพนักงานได้ปฎิบัติหน้าที่นั้นเอง แต่หากว่าฆ่าในขณะกระทำการตามหน้าที่ แม้เป็นเหตุส่วนตัวก็ผิด (2)

ตัวอย่างของ (3) ประเด็นอยู่ที่ เจ้าพนักงานอยู่ขั้นตอนไหน และ การที่เข้าไปช่วยของผู้ช่วยเหลืออยู่ในขณะไหน
นายแดงตำรวจจะไปจับบ่อนของนายขาวโดยมีนายเขียวเป็นคนดีอาสาไปด้วย ขณะขับรถไปยังไม่ถึงบ่อน นายดำลูกนายขาวไม่อยากให้บิดาถูกจับ จึงยิงแดงและเขียวตาย
วินิจฉัยเฉพาะเขียวนะครับ ประเด็นแรกการกระทำของเจ้าพนักงานอยู่ขั้นตอนไหน คือ อยู่ในขั้นตอนของการที่จะกระทำการตามหน้าที่เพราะยังไม่ได้ไปถึง เมื่อยังไม่ได้มีการกระทำการตามหน้าที่ จึงไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นทีสองเลยว่าเขียวผู้ช่วยเหลืออยู่ในขั้นตอน เพราะไม่เข้า (3) แล้ว เพราะต้องมีการกระทำการตามหน้าที่ก่อน

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การสอบเนติขาแพ่งและอาญา

การ ศึกษาเนติบัณฑิตนั้น แต่ละรุ่นจะแบ่งเป็น 2 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 2 วิชา ภาคเรียนที่ 1 ประกอบด้วยวิชากฎหมายแพ่ง และ วิชากฎหมายอาญา ส่วนภาคเรียนที่สองประกอบด้วยวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และ วิชากฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ละวิชาจะมีข้อสอบทั้งหมด 10 ข้อ (แต่ละข้อมีเรื่องอะไรบ้างจะอธิบายให้ทราบต่อไป) ให้เวลาสอบวิชาละ 4 ชั่วโมง
1. สำหรับคนเรียนเนติครั้งแรก จะสมัครเรียนเนติได้อย่างไร
                อันดับแรก เมื่อเกรดออกครบและได้ใบเกรดฉบับสมบูรณ์แล้วก็ให้รีบสมัครเป็นนักศึกษาเนติ บัณฑิต โดยการสมัครเป็นนักศึกษาเนติบัณทิตทำอย่างไรนั้น สามารถเข้าไปอ่านดูได้ที่ http://www.thaibar.thaigov.net/Tabain/manual.html
โดยในการสมัคร เรียนนั้น เราจะต้องสมัครเป็นสมาชิกประเภท “ภาคีสมาชิก” โดยจ่ายค่าเรียนครั้งหนึ่งจะสามารถเรียนไปได้หนึ่งปี (สองภาค โดยเริ่มจากภาคหนึ่ง ดังนั้น คนที่สมัครเรียนที่ภาคสองเป็นเทอมแรก ต้องจ่ายค่าเรียนใหม่ในภาคเรียนที่ ๑)
                ทั้งนี้ ค่าเรียนนั้นยังไม่รวม “ค่าสอบ” ที่จะเปิดให้ "สมัครสอบ" ซึ่งจะเปิดช่วงประมาณเดือนกรกฎา - สิงหาคม  **สำคัญมาก** เนื่องจากการสมัครเป็นนักศึกษาไม่ได้รวมถึงการสมัครสอบด้วย เราต้องสมัครสอบแยกอีกครั้งหนึ่ง หากไม่สมัครสอบภายในกำหนดเวลาก็จะหมดสิทธิสอบ (เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอาจไปยื่นคำร้องขอสมัครสอบภายหลังเป็นกรณีพิเศษได้)
                สำคัญไม่แพ้กัน***** กำหนดการปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่กับการปิดรับค่าธรรมเนียมนักศึกษาเก่านั้น ปิดไม่พร้อมกัน โดยการปิดรับชำระค่าธรรมเนียมของนักศึกษาเก่าจะดังนั้น คนที่เคยเรียนเนติมาแล้ว แต่ยังไม่จบ เมื่อเริ่มต้นภาคใหม่ต้องดูวันเวลาให้ดีๆ อย่าไปฟังคนที่เพิ่งเรียนเนติครั้งแรกเพราะอาจจะซวยได้
                สำหรับปีการศึกษา 2554 นี้สามารถดูปฏิทินการศึกษาของเนติได้ที่ http://www.thaibar.thaigov.net/Calendar2554.pdf

2. เรียนเนติ อ่านอะไรดี
                คำบรรยายเนติ : เขาว่ากันว่าสิ่งที่ควรอ่านมากที่สุดในการเรียนเนติก็คือหนังสือที่ชื่อว่า “รวมคำบรรยาย” ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่การถอดเทปทั้งหมดจากสิ่งที่อาจารย์พูดในห้อง แต่เป็นการที่อาจารย์แต่ละท่านที่เป็นผู้บรรยายได้ทำชีทการบรรยายในแต่ละ ครั้งมาส่งให้กับทางสำนักอบรมเนติฯ เพื่อรวมเป็นล่มคำบรรยายในแต่ละอาทิตย์ (อาจารย์บางท่านก็ทำเป็นแค่สรุปคือน้อยกว่าที่บรรยายจริงในห้อง บางท่านก็ทำเกินกว่าที่บรรยายจริง) ผสมกับการถอดเทปนิดหน่อย รวมๆกัน ซึ่งหนังสือรวมคำบรรยายนั้นจะมีเฉพาะในส่วนของคำบรรยายภาคปกติ
                อ้าว แต่ได้การเรียนเนติมันมีทั้งภาคปกติ ภาคค่ำ และก็ภาคทบทวนนี่นา อ่านแต่ภาคปกติจะสอบผ่านไหม?????
                ในการออกข้อสอบของเนตินั้น อาจารย์ทั้งของภาคปกติและภาคค่ำมีสิทธิที่จะออกข้อสอบในวิชาที่ตนเองสอนได้ และจะมาลงคะแนนเลือกข้อสอบกัน ซึ่งหากต้องการทราบเนื้อหาในภาคค่ำนั้นก็มีหลายวิธี เช่น การไปเข้าเรียนเอง การซื้อ
คำบรรยาย MP3 มาฟัง หรือมีเอกชนบางแห่งจัดทำสรุปคำบรรยายภาคค่ำให้สมัครสมาชิกโดยมีค่าใช้จ่าย และบางทีในเว็บกฎหมายบางแห่งก็มีคนใจดีถอดคำบรรยายภาคค่ำมาให้อ่านฟรี ก็ต้องลองขยันหาเอานิดนึงเป็นธรรมดาของของฟรี

 3. ข้อสอบเนติ ออกอะไร
                ดัง ที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าการศึกษาเนติบัณฑิตในภาคเรียนที่ 1นี้ประกอบด้วย 2 วิชา หรือที่ท่านมักเรียกกันว่า
2 ขา นั่นเอง อันได้แก่ แพ่ง และ อาญา ข้อสอบวิชาละ 10 ข้อ ให้เวลาสอบ 4 ชั่วโมง จึงขอให้ข้อมูลแยกเป็นรายวิชา ดังนี้
(หมาย เหตุ สิ่งที่แนะนำ ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องอ่านอย่างอื่นแล้ว เพราะช่วงหลังๆมานี้ข้อสอบพลิกล็อกหลายครั้ง ขอให้อ่านไว้เป็นแนวทาง แต่อย่ายึดเป็นที่พึ่ง )

แพ่ง
1. ข้อ1 เป็นเรื่อง "ทรัพย์ หรือ ที่ดิน" (ส่วนใหญ่มักออกเรื่องทรัพย์ ตามปพพ.)
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.สมจิตร์ ทองศรี
2. ข้อ 2 เป็นเรื่อง "นิติกรรมสัญญา หรือ หนี้ หรือ ละเมิด"
3. ข้อ 3 เป็นเรื่อง "นิติกรรมสัญญา หรือ หนี้ หรือ ละเมิด"
>> ข้อ2 และข้อ3 เป็นเรื่อง "นิติกรรมสัญญา หรือ หนี้ หรือ ละเมิด" ขึ้นอยู่กับแต่ละปี จะมี 2 เรื่องที่ออกเป็นข้อสอบ อีก1เรื่องไม่ได้ออก
>> นิติกรรมสัญญา แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของอาจารย์อัครวิทย์ สุมาวงศ์ และ อ.ไมตรี ศรีอรุณ
>> หนี้ ไม่มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเข้าเรียน เพราะเรียนแล้วเข้าใจยาก ส่วนผู้ออกข้อสอบก็ไม่แน่นอนเท่าไรนัก อาจเป็นได้ทั้ง
อ.ไพโรจน์ วายุภาพ (ภาคปกติ) หรือ อ.ดาราพร ถิระวัฒน์ (ภาคค่ำ) อย่างไรก็ดี มีข้อดี (มั้ง)อยู่เรื่องหนึ่งคือ ในเรื่องหนี้นั้นไม่ค่อยมีฎีกามากเท่าไรนัก ดังนั้นท่านสามารถหาหนังสือที่ท่านอ่านแล้วเข้าใจหลักการในเรื่องหนี้ได้ เป็นอย่างดีมาอ่าน และท่องตัวบทไป ก็สามารถช่วยให้ท่านทำข้อสอบในข้อนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย
>> ละเมิด แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของอ. เพ็ง เพ็งนิติ หรือ บางท่านอาจไปหาซื้อหนังสือเล่มเล็ก ๆเป็นสรุปเรื่องละเมิดเขียนโดยท่าน อาจารย์เพ็งมาอ่านก็ได้เช่นกัน
4. ข้อ 4 เป็นเรื่อง "ซื้อขาย หรือ เช่าทรัพย์ หรือ เช่าซื้อ" (ข้อสอบจะออกเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น)
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.ฉันทวัธน์ วรทัต ท่านสอนทั้ง 3 เรื่อง ไม่ยาวมากและครอบคลุม
5. ข้อ 5 เป็นเรื่อง "ยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ" (ข้อสอบอาจออกหลายเรื่องปนกันได้)
>> แนะนำว่าเข้าเรียนกับท่านใดแล้วรู้เรื่องถูกกับจริตของท่าน ก็เข้าเรียนกับท่านนั้นไป ส่วนเรื่องคำบรรยายนั้น ของอ.บัณฑิต จะสั้นและกระชับกว่าเนื่องจากเป็นการบรรยายภาคค่ำ แต่ก็ขอให้เข้าเรียนและอ่านคำบรรยายคาบสุดท้ายของอ.ปัญญา ไปเผื่อด้วย
6. ข้อ6 เป็นเรื่อง "ตัวแทน หรือ ประกันภัย หรือ ตั๋วเงิน หรือ บัญชีเดินสะพัด" (ส่วนใหญ่จะออกเรื่องตั๋วเงิน) >> แนะนำให้ *เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์* ข้อสอบส่วนใหญ่มักออกเรื่องตั๋วเงิน แต่ให้ตั้งใจฟังในคาบดีๆว่าอาจารย์จะพูดถึงว่ามีแนวโน้มที่เรื่องอื่นๆที่ เหลืออีก 3 ข้อจะถูกนำมาออกข้อสอบด้วยหรือไม่อย่างไร
7. ข้อ 7 เป็นเรื่อง "หุ้นส่วน หรือ บริษัท" (ข้อสอบอาจออกเรื่องใดก็ได้)
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.สุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ และ อ.สหธน รัตนไพจิตร หรืออาจซื้อหนังสือเรื่องหุ้นส่วน-บริษัท เล่มสีแดง ของอ.สหธน มาอ่านก็ได้ (เราอ่านเล่มนั้น) ข้อสอบของอาจารย์สองท่านนี้มักได้รับเลือกเสมอ ส่วนจะออกเรื่องหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น ไม่แน่นอน
8. ข้อ 8 เป็นเรื่อง "ครอบครัว และ มรดก" (ข้อสอบออกผสมกัน)
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.มล.เฉลิมชัย เกษมสันต์ (อ.หม่อมพี่) โดยเฉพาะการบรรยาย(หมายถึงการบรรยายในห้องเรียน ไม่ใช่คำบรรยาย เพราะคำบรรยายอาจไม่ครบหรือตกหล่นบางเรื่องไป ซึ่งจะทำให้เสียหายมาก) ในคาบสุดท้าย อาจารย์จะพูดเป็นแนวสรุปสาระสำคัญในแต่ละเรื่อง อาจารย์จะพูดถึงส่วนเรื่องครอบครัวด้วย (แม้อาจารย์ไม่ใช่ผู้บรรยายเรื่อง ครอบครัว) >> สำหรับคนที่ขยันและอยากอ่านวิชาครอบครัว แนะนำให้ซื้อหนังสือสรุปเล่มเล็กๆ เขียนโดย อ.ประสพสุข บุญเดช มาอ่าน
9. ข้อ 9 เป็นเรื่อง "การค้าระหว่างประเทศ"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.อรรถนิติ  ดิษฐอำนาจ โดยเน้นเข้าเรียนและอ่านคำบรรยาย
>> วิชานี้ถึงแม้หลายคนอาจไม่เคยเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจไป มันไม่ยากอย่างที่คิด ทุกอย่างเรียนรู้กันได้ เราก็ไม่เคยเรียนมาก่อนเหมือนกัน
10. ข้อ 10 เป็นเรื่อง "ทรัพย์สินทางปัญญา"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.วัส ติงสมิตร แต่ทางที่ดีเข้าเรียนกับอาจารย์ท่านใด, อ่านคำบรรยายอันไหน แล้วรู้เรื่องก็แล้วแต่แต่ละบุคคล
>> ..เหมือนเดิม..ใครไม่เคยเรียนวิชานี้มาก่อนก็ไม่ต้องคิดมาก มันไม่ยาก จริงๆนะ ไม่ได้แค่หลอกให้ดีใจ เราก็ไม่เคยเรียนมาก่อนเช่นกัน


อาญา
 (ส่วนที่อยู่ในป.อาญา จะแบ่งเป็นมาตรา)
1. ข้อ1 "มาตรา 1-59, 107-208" (มาตรา 107-208 ไม่ค่อยออกข้อสอบ..แต่ก็อย่าทิ้งนะคะ)
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.ชาตรี สุวรรณิน
2. ข้อ2 "มาตรา 59-106"
3. ข้อ3 "มาตรา 59-106"
>> ข้อ2 และ ข้อ3 แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ สองข้อนี้เป็นข้อที่เก็บคะแนนได้ ทำคะแนนได้ดี ไม่ยาก คล้ายๆกับที่เรียนในมหาวิทยาลัยแต่ประเด็นน้อยกว่า เรื่องที่ชอบออกก็พวก เจตนา (ประสงค์ต่อผล/เล็งเห็นผล), ประมาท, พลาด, ป้องกัน, จำเป็น, บันดาลโทสะ, ตัวการ, ผู้ใช้, ผู้สนับสนุน, พยายาม.. ประมาณนี้
4. ข้อ4 "มาตรา 209-287"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.วีระวัฒน์ ปวราจารย์
5. ข้อ5 "มาตรา 288-366"
6. ข้อ6 "มาตรา 288-366"
>> ข้อ5 และ ข้อ6 แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.มล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ สองข้อนี้ไม่ง่ายเท่าไหร่ เนื่องจากมีเรื่องที่อาจเอามาออกข้อสอบได้หลายเรื่อง เช่น ความผิดต่อชีวิตร่างกาย, ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ทั้งหลาย, ทำแท้ง, ข่มขืน, พรากผู้เยาว์, หมิ่นประมาท และอื่นๆ ซึ่งมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะพอสมควร ยังไงก็สู้ตาย!
7. ข้อ7 "ภาษี"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม
8. ข้อ8 "แรงงาน"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.เกษมสันต์ วิลาวรรณ
9. ข้อ9 "รัฐธรรมนูญ"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคปกติ ของ อ.อธิคม อินทุภูติ และ อ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เนื่องจากสถิติไม่ค่อยคงที่
10. ข้อ10 "ปกครอง"
>> แนะนำให้เข้าเรียน และ/หรือ อ่านคำบรรยาย ภาคค่ำ ของ อ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ มีข้อมูลว่าข้อสอบของอาจารย์มักได้รับเลือก

                 ข้อมูล ที่บอกมันเป็นแค่ "สถิติ" ที่ได้สอบถามจากรุ่นพี่และเป็นข้อมูลที่สืบทอดกันมา..รุ่นสู่รุ่น.. ได้แค่ขออวยพรให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่อันกระทบต่อการสอบผ่าน
                หลายคนคง เคยได้ยินกันแล้วว่าเนฯเน้นฎีกามาก ซึ่งเราไม่เถียง แต่คงไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถจำได้ทุกฎีกาที่อาจารย์สอน ฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยท่านได้ก็คือ "หลัก" ถ้าหลักเราแม่นแล้วก็ช่วยให้เราเดาได้ถูกทาง จำเท่าที่จำได้ ทำให้ดีที่สุด แล้วก็ที่สำคัญ..ทำบุญเยอะๆ 555 -- ข้อสอบเนฯเน้นหลัก อาจมีรายละเอียดแต่ก็แค่นิดๆหน่อยสำหรับบางเรื่องเท่านั้น ไม่ได้ละเอียดยิบย่อยและยากเว่อเหมือนบางวิชาในมหาวิทยาลัย

                สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ “ข้อสอบเก่า” มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า “เราเรียนเนติกันไปโดยมีเป้าหมายคืออยากสอบผ่าน การจะสอบผ่านได้ก็คือต้องทำข้อสอบได้ แต่เราไม่ดูข้อสอบมาก่อนเลย ไม่ค่อยซ้อมทำข้อสอบมาก่อนเลย มันก็ดูไม่ค่อยเข้ากับเป้าหมาย” หลายคนอาจบอกว่า ดูไปทำไม เนติไม่ออกข้อสอบซ้ำ ใช่แล้ว เนติไม่ออกฎีกาซ้ำ แต่หลักกฎหมายมันก็มีอยู่แค่นั้นมันต้องซ้ำแน่ๆ ถ้าเราไม่เคยเห็นแนวทางการตอบมาก่อน ไปถึงห้องสอบมันก็จะเรียงถ้อยคำไม่ค่อยออก จะเขียนยังไงให้กระชับและเขียนทันสิบข้อในเวลาสี่ชั่วโมง ข้อสอบเก่าเป็นแนวทางที่ดีมากๆ แนวทางหนึ่ง และถ้าแนวหลักกฎหมายเดิมมันออกซ้ำ แต่เราทำผิดเพราะไม่เคยอ่านข้อสอบเก่ามาก่อน มันก็น่าเจ็บใจเปล่าๆ
                ถาม ว่าถ้าอ่านหนังสือ(คำบรรยาย)ไม่ทัน ทำไงดี? ไม่รู้ฎีกา.. ตายแน่.. ไม่ต้องเครียด อ่านไม่ทันก็ "ช่างแม่ง" ไม่ต้องไปสนใจคำบรรยายแล้ว ก็มันไม่ทันหนิ จะให้ทำไงว้า.. อันไหนที่อ่านไม่ทัน *อย่าทิ้ง* ให้พยายามท่องตัวบทที่เป็นหลักในเรื่องนั้นๆไปให้ ได้มากที่สุด แล้วก็เขียนอะไรก็ได้ลงไป การเขียน=การทำให้เรามีโอกาสได้คะแนน.. 1 คะแนน ก็ยังดี.. ถ้าคิดจะทิ้งข้อไหนไปโดยสิ้นเชิงไม่แตะไม่ดูแม้แต่ตัวบทเลย ขอให้ลองคิดดูว่าถ้าน้องสอบตกด้วยคะแนน 49 คะแนน มันจะรู้สึกเจ็บใจแค่ไหน..

ด้วยความปรารถนาดีจาก Law on real

เทคนิคการเรียนเนติของ นางสาวฐิติมา แซ่เตีย ที่ 1 สมัย 63

เกียรตินิยม อันดับ 1 เนติบัณฑิต สมัยที่ 63   ได้แก่ "ฐิติมา แซ่เตีย"
 

เธอทำให้ คณะนิติศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ ภาคภูมิใจอย่างที่สุด

เพราะเธอเป็นคนที่สาม ในรอบ 30 ปีที่คว้าเกียรตินิยม อันดับ 1
 


 ชั่วโมงนี้ ในเส้นทางของนักศึกษากฎหมายที่กำลังมุ่งหน้าสู่สนามสอบผู้พิพากษา  

ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ
  


จริงๆ แล้ว เรื่องราวของ ฐิติมา แซ่เตีย  หรือ หลา น่าสนใจกว่า คำว่าเรียนเก่ง เรียนดี  

เพราะเธอ ยังมีแง่คิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร ?
  

เมื่อเธอผ่านวิกฤตด้านสุขภาพ มาได้อย่างมีสติและมีความมั่นคงในจิตใจ
  


ถ้าคุณเป็นนักกฎหมาย หรือ มีลูกเรียนกฎหมาย ต้องอ่านเรื่องราวต่อไปนี้
   


หลา เกิดและเติบโตขึ้นมาที่จังหวัดสกลนคร     เริ่มต้นชั้นอนุบาลที่ ร.ร.  เซนต์โยเซฟสกลนคร จนถึง ป.4 พอขึ้น ป.5 หลา  ย้ายไปเรียนที่ ร.ร. เชิงชุมราษฎร์นุกูล จ.สกลนคร   และเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาที่ ร.ร. สกลราช วิทยานุกูล จนจบ ม.6 หลังจากนั้น ในปี 2544  เข้าศึกษาต่อในคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาบัญชี 

หลังจากสำเร็จการศึกษา เข้าทำงานเป็น ผู้ช่วยผู้สอบบัญชีที่บริษัทสำนักงาน เอินส์ท แอนด์ ยัง จำกัด เป็นเวลา 3 ปี ระหว่างที่ทำงาน   มาสมัครเข้าศึกษาต่อคณะนิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเข้าศึกษา ในปีการศึกษา 2550และสำเร็จการศึกษาในปี 2553 และปีเดียวกันนั้นเองเรียนต่อระดับชั้นเนติบัณฑิต และสำเร็จการศึกษาในปี 2554

    
ในช่วงเวลาที่เข้ามาเรียนบัญชีจุฬาฯจนกระทั่งจบนิติศาสตร์ อยู่หอพักคนเดียวมาตลอด มี เหงาบ้าง แต่ก็ใช้การอ่านหนังสือ  เพราะรักการอ่าน ไม่ว่าจะ เป็นหนังสือ นวนิยาย หรือหนังสือธรรมะ   สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิต คือการที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่ เพราะท่านทำให้มีทุกวันนี้   ครอบครัวไม่เคยทำให้รู้สึกเครียด หรือกดดันในเรื่องของการเรียนหรือการสอบเลยแม้แต่น้อย ทำให้มีความสุขและมีสมาธิกับการอ่าน และสามารถจดจำเนื้อหาที่อ่านได้ดี

 

เรื่องเล่าของหลา

สิ่งที่ ดิฉันจะบอกเล่าต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ตัวเองได้ปฏิบัติในช่วงที่เรียนชั้นเนติบัณฑิต อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับใครหลายๆ คนแต่สำหรับคนที่ใกล้ชิดและรู้จักดิฉันเป็นอย่างดี จะไม่แปลกใจเลย สิ่งเหล่านี้มิได้มาเริ่มต้นที่ชั้นเนติบัณฑิต แต่ได้ปฏิบัติมาสม่ำเสมอ ตั้งแต่ชั้นปริญญาตรีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการท่องตัวบท เกือบทุกมาตราที่ท่องที่เนติบัณฑิต
 

 ดิฉันเคยท่องมาก่อนแล้วทั้งสิ้น (ยกเว้นกฎหมายพิเศษบางฉบับ) ดังนั้น เมื่อมาท่องอีกครั้ง จึงใช้เวลาไม่มากเลย นอกจากนี้เรื่องของการเขียนตอบ  ข้อสอบก็ได้ฝึกการตอบแบบ “ล้อตัวบท” มาตั้งแต่ปีแรกที่ศึกษานิติศาสตร์เช่นกัน และได้ฝึกทำข้อสอบเก่าส่งให้ท่านอาจารย์ช่วยตรวจอยู่เสมอ ส่วนเรื่องของการมีระเบียบวินัยในตนเอง ก็ฝึกมาตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษาเรื่อยมา

 จนกระทั่งเรียนบัญชี ทำงาน เรียนนิติศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน  มิได้ต้องการให้ใครเชื่อหรือ  ปฏิบัติตาม สิ่งที่ดิฉันทำค่อนข้างจะแตกต่างกับคนอื่นๆ เกือบจะทุกเรื่อง
ดังนั้น ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณ   ศึกษาแนวทางของผู้ที่ประสบความสำเร็จ  ท่านอื่นๆ ประกอบด้วย ขอให้ทุกท่านหาแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับอุปนิสัยของ
ตนเองให้พบ เพราะสิ่งที่เหมาะสมกับคนๆ หนึ่งอาจไม่เหมาะสมกับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้


เคล็ด (ไม่) ลับ

ดิฉันยึดตัวบทเป็นสรณะ    จะท่องตัวบทเป็นประจำในชั้นเนติบัณฑิต    เริ่มท่องตัวบทตั้งแต่วันเปิดภาคเรียนวันแรก ภาคที่หนึ่ง วันละประมาณ 10 มาตรา (แพ่งและอาญา)   ภาคที่สอง วันละประมาณ 6 มาตรา (วิแพ่งและวิอาญา) โดยไม่ได้ท่องทุกมาตราแต่จะท่องเฉพาะมาตราที่ออกสอบในช่วง 15   ปีย้อนหลังนอกจาก นี้ก็ดูใน
รวมคำบรรยายของภาคกลางวันและการเข้าเรียนในภาคค่ำว่ามีมาตราใดที่อาจารย์สอนหรือให้ความสำคัญนอกเหนือไปจากนี้หรือไม่ และท่องเพิ่มเติม

ข้อดีของการท่องตัวบท


1. ก า ร เขีย น ต อ บ ข้อ ส อ บ จ า กประสบการณ์ที่เคยทำข้อสอบ ทำให้พบว่าการเขียนตอบโดย “ล้อตัวบท” คือ ใช้ถ้อยคำในกฎหมาย จะทำให้ได้คะแนนสูง

2. เมื่อเข้าฟังคำบรรยาย หรืออ่านหนังสือ   ถ้าเป็นมาตราที่ท่องมาแล้วจะทำให้สามารถฟังที่อาจารย์อธิบาย และอ่านหนังสือ โดยทำความเข้าใจได้เร็วขึ้นโดยที่ไม่ต้องพลิกเปิดตัวบท ซึ่งอาจทำให้เสียสมาธิในการฟังและอ่าน


3. หากแม่นหลักกฎหมายแล้ว แม้ข้อสอบ  จะออกคำพิพากษาฎีกาที่ไม่เคยอ่านมาก่อน อย่าง  น้อยเขียนหลักกฎหมายตอบไป ก็จะพอได้คะแนน  อย่างเช่น ตัวเอง เมื่อครั้งที่สอบข้อสอบกลุ่มกฎหมายแพ่ง สมัย 63 ข้อ 2 ซึ่งเป็นเรื่องสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก   ดิฉันไม่เคยเห็นคำพิพากษาฎีกาที่นำมาออกข้อสอบข้อนี้มา
ก่อน ตอนแรกก็คิดไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไร จึงทำแผนภูมิรูปภาพ ตัวละครที่เกี่ยวข้องว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร และลองไล่มาตราที่เกี่ยวข้อง คือ นิติกรรมหรือหนี้ ก็เห็นว่าน่าจะเป็นมาตรา 374 , 375   ก็ลองตอบไปและได้มาถึง 8 คะแนน


4 . การที่แม่นตัวบทเวลาทำข้อสอบจะทำให้จับประเด็นในข้อสอบได้ว่าแต่ละประโยคกำลังถามเรื่องอะไร หรือหลอกเรื่องอะไร

วิธีการท่อง

หนึ่ง .  จะพกตัวบทเล่มเล็กๆ ติดตัวเป็นประจำ ว่างเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาท่อง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่นั่งรออาจารย์สอนในห้องบรรยาย ขณะเดินทาง ขณะออกกำลังกาย
หรือแม้แต่ขณะรับประทานอาหารในบางครั้ง (ช่วงใกล้สอบ) เป็นการใช้เวลาแต่ละนาทีให้คุ้มค่าที่สุด

สอง. ท่องประมาณวันละ 10 มาตรา แต่ก่อนขึ้นมาตราใหม่ ต้องทวนของเก่าก่อนเสมอซึ่งจะทวนย้อนหลังประมาณ 3   วันและทุกวันอาทิตย์จะไม่ขึ้นมาตราใหม่ แต่จะทวนของเก่าที่เคยท่องมาทั้งหมด


เทคนิคการจำตัวบท

ดิฉันจะจำตำแหน่งของแต่ละมาตราใน ตัวบทไปด้วย เวลาทวน นึกภาพให้ออกว่ามาตรา ที่กำลังท่องอยู่ อยู่ตำแหน่งไหน หน้าซ้ายหรือ ขวา บน กลาง หรือล่าง มีกี่
วรรค คือ พยายาม จำเป็นรูปภาพจะทำให้จำได้ง่ายและไม่ค่อยลืม

อ่านหนังสืออะไรบ้าง

ด้วยความสัตย์จริง  ดิฉันอ่านเพียงรวม คำบรรยาย สมุดเล็กเชอร์ในวิชาที่เข้าเรียนและ ข้อสอบเก่าเท่านั้น โดยสิ่งเหล่านี้  มิได้อ่าน เพียงรอบเดียว มีคนชอบถามว่าอ่านจูริส (พิสดาร)  รึเปล่า ขอตอบได้ทันทีว่าไม่ได้อ่าน และไม่รู้ จักด้วยซ้ำไป ส่วนตำราของอาจารย์ผู้บรรยาย    ดิฉันก็ไม่ได้อ่านเช่นกัน แม้ว่าจะมีคนเมตตามอบ ให้มา
หลายเล่ม แต่ก็ไม่มีเวลาอ่านจริงๆ


รวมคำบรรยาย


ดิฉันอ่านรวมคำบรรยายได้หลายรอบ  เพราะโชคดีที่ได้รวมคำบรรยายของสมัย ก่อนมาตั้งแต่เปิดภาคเรียน เมื่อเห็นว่าคำบรรยาย ในแต่ละปีไม่ค่อยแตกต่างกันมากจึงยึด คำบรรยาย (สมัยก่อน) เป็นตำราหลักในการอ่าน และรับคำบรรยายใหม่ด้วย โดยนำมาเปรียบเทียบกับของเก่า แล้วทำเครื่องหมายในส่วนที่เพิ่มเติม ขึ้นมา และในคำบรรยายใหม่ ก็จะอ่านเฉพาะที่เพิ่มเติมขึ้นมาเท่านั้น


ข้อสอบเก่า

ช่วง 6  สัปดาห์สุดท้ายก่อนสอบ    จะเริ่มนำข้อสอบเก่ามาฝึกทำ โดยทำสลับกับการ อ่านคำบรรยาย คือ ไม่ได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียง อย่างเดียว ก็ยังอ่านรวมคำบรรยายเป็นหลัก ช่วง  เวลาที่ใช้สำหรับข้อสอบเก่ามีเพียงวันละประมาณ  1-2   ชั่วโมงเท่านั้น  จะดูข้อสอบเก่าย้อน หลังไป  20  ปี อ่าน  2  รอบ รอบที่  1  ฝึกคิดไป ด้วย ยังไม่เปิดดูธงคำตอบในทันที พยายามหา คำตอบเองก่อน และจะฝึกเขียนจริงๆ ประมาณ 40   ข้อ โดยลองจับเวลา เสมือนหนึ่งว่ากำลังนั่ง อยู่ในห้องสอบจริง รอบที่ 2  เป็นการอ่านธงคำตอบอย่างเดียวในช่วง 1-2  วันก่อนสอบ เพราะเป็นไปได้ ที่ประเด็นที่ได้ออกข้อสอบไปแล้ว จะถูกนำมาออกอีกในปีนี้ จึงดูเผื่อไว้และดูสำนวน


การเขียนในธงคำตอบด้วย

  การฝึกทำข้อสอบเก่า จะมีส่วนช่วยให้สามารถหาประเด็นในข้อสอบได้เร็ว เพราะเราฝึกสมองมาบ้างแล้ว นอกจากนี้  ดิฉันมีความคิดว่าการตอบข้อสอบกฎหมาย
เป็นทักษะอย่างหนึ่ง ซึ่งจะมีความชำนาญได้ ก็ต่อเมื่อได้มีการฝึกฝน ดังนั้น การฝึกเขียน จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก  


การเขียนตอบ


รูปแบบการเขียน ฟังดูแล้วก็เหมือนกับการเขียนตอบข้อสอบกฎหมายทั่วไปคือ เริ่มจากการวางหลักกฎหมาย ปรับบท และสรุป แต่สิ่งที่ ดิฉันทำต่างไปจากคนทั่วๆ ไป  รวมทั้งที่อาจารย์หลายท่านแนะนำ คือ  จะเขียนตอบค่อนข้างยาว ข้อหนึ่งเฉลี่ยประมาณ  2-3   หน้ากระดาษ ลำพังแค่วางหลักกฎหมายก็ประมาณหนึ่งหน้ากระดาษแล้ว โดยที่ผ่านมา ทุกข้อ จะใส่ตัวเลขทุกมาตราที่ต้องใช้ ข้อดีของการจำเลขมาตรา ก็คือ เมื่อเรากล่าวซ้ำอีก จะช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องอธิบายหลักกฎหมายอีก
   

ในส่วนของการปรับบท จากการที่ท่องตัวบทได้จึงปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายโดย “ล้อตัวบท” ดังนั้น ภาษาที่ใช้จึงสละสลวย ซึ่งดิฉันเชื่อว่าจุดนี้ทำให้ได้คะแนนดี สำหรับการสรุป จะกลับไปอ่าน คำถามซ้ำอีกครั้งว่าถามว่าอย่างไรบ้าง และตอบ สรุปให้ครบทุกประเด็น

การพักผ่อน

เนื่องจาก ดิฉันไม่ต้องทำงานไปด้วย จึง อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ แบบไม่เครียดมากนัก ล้า ก็พัก ง่วงก็นอน ละครหลังข่าวก็ดูทุกคืน แต่ก่อนนอนจะสวดมนต์ แล้วจึงเข้านอน จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาที่ใช้สำหรับการอ่าน  คำบรรยายจริงๆ จะอยู่ในช่วง 08.00  น. ถึง  16.00   น. เป็นส่วนใหญ่ ช่วงเวลานอกนั้นก็จะเน้นที่การท่องตัวบท
นอกจากนี้ในวันอาทิตย์ จะให้เวลากับตัวเองโดยการเข้าวัด ฟังพระธรรมเทศนา และ เข้าร้านหนังสือเพื่ออ่านนวนิยาย หรือหนังสือ ธรรมะที่ออกใหม่ ความสุขของแต่ละคนย่อมไม่ เหมือนกัน สำหรับตัวเองมีความสุขกับการ อยู่กับตัวเอง อยู่กับครอบครัว วัด และหนังสือ ซึ่งอาจดูแปลกสำหรับคนวัยนี้


ชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ? ถ้าวันหนึ่งผิดหวังจะรับได้รึเปล่า?

อยากบอกว่าไม่มีใครที่จะสมบูรณ์ไปหมด   ทุกอย่างหรอกนะคะ สำหรับตัวเอง ก็เคยมีอุปสรรคขวากหนามเข้ามาในชีวิตบ้าง เคยมีปัญหาสุขภาพหลายอย่างพร้อมๆ กัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นกับคนอื่น บางคนอาจหาทางออกไม่ได้และ คิดสั้นก็มี แต่สำหรับตัวดิฉันเองโชคดีที่ได้ศึกษาธรรมะมาในระดับหนึ่ง ประกอบกับกำลังใจจากครอบครัว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะรับมือกับทุก สิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้

คิดว่าคงไม่ได้พบเจออะไรที่ ร้ายแรงไปกว่าตอนที่ป่วยตอนนั้นอีกแล้ว แม้ตอนที่ไม่สบาย  ดิฉันจะต้องอ่านหนังสือไป กินยา ไป บางทีก็ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยทุกข์หรือท้อกับตรงนั้น กลับคิดว่าโชคดี เสียอีก ที่ได้มีโอกาสพิจารณาธรรมในหลายๆ  เรื่อง

ที่สำคัญที่สุดคือปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า “สังขารทั้งหลายมี ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เถิด”  ดิฉันเข้าใจกระจ่างชัดก็ตอนนั้นเอง ทุกวันนี้   ยังคงขอบคุณความเจ็บป่วยที่เข้ามา เตือนว่าจงอย่าประมาทกับการใช้ชีวิตนะ


คติประจำใจอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่รู้ หรอกว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึง ก่อนกันสำหรับใครที่เป็นห่วงดิฉันขอบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วนะคะ ทุก วันนี้  ดิฉันหายป่วยจากทุกโรคที่เคยเป็นแล้วตอนนี้พร้อมทั้งกำลังกายและกำลังใจที่ จะดำรง ชีวิตต่อไปแล้วค่ะ


เวลาท้อทำอย่างไร

จริงๆ แล้ว  ดิฉันไม่ค่อยท้อ ทำไปเรื่อยๆ ตามกำลังและสติปัญญา   ดิฉันโชคดีที่รักการอ่านมานานแล้ว จึงค่อนข้างจะมีความสุขกับการ ได้อ่าน แต่จะมีบ้างเวลาที่เหนื่อย หรือล้า    จะระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่เป็นกำลังใจ นึกถึงความเหนื่อยยากลำบากที่ท่านเลี้ยงดูมาและความหวังว่าจะได้ทดแทนพระคุณ ของท่านในภายหน้า เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกว่า เหนื่อยไม่ได้นะ ขี้เกียจไม่ได้นะ    นอกจากนี้ เวลาที่ขี้เกียจหรืออยากนอน   จะระลึกถึงคำสอนของอาจารย์ที่ว่า “เวลานอนยังมีอีกมากในหลุมศพ” พอนึกได้อย่างนี้ ก็จะมีความพยายามที่จะอ่านต่อมากขึ้น 


สิ่งที่ยึดถือเป็นสรณะ (นอกจากตัวบท)


ดิฉัน เชื่อมาโดยตลอดว่า คนที่มีความ  กตัญญูกตเวที ย่อมประสบความสำเร็จแน่นอน  การกตัญญูไม่ใช่แค่กับบุพการีเท่านั้น หมายรวมถึงผู้มีพระคุณทุกท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ เป็นผู้ที่จะล่วงเกินมิได้   ดิฉันเห็นน้องๆ  หลายคนเรียกอาจารย์ด้วยชื่อเฉยๆ ทำให้รู้สึกสลดใจเป็นอย่างยิ่งอาจารย์  ซึ่งสอนธรรมะให้แก่


ดิฉัน  เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ให้ความรู้กับเรา แนะนำสั่งสอนเรา แม้เพียงประโยคเดียวหรือชั่วเวลาสั้นๆ ถ้าสิ่งที่ท่านกล่าวนั้นเราสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เราต้องเรียกท่านผู้นั้นว่า “ครู”  ดิฉันขอฝากไว้อีกนิดว่า เราเป็นศิษย์ ต้องเคารพครู เป็นลูก ก็ต้องเคารพคุณพ่อคุณแม่ แล้วชีวิตจะมีแต่คำว่า “เจริญ”


สุดท้ายที่อยากฝาก


อีกสิ่งที่เชื่อเพราะประสบมาด้วยตัวเองก็คือ คนเรา เก่งอย่างเดียว ไม่สามารถมีความสุขได้ ในอดีตเคยเรียนหนังสือเก่งมากๆชีวิตมีครบทุกอย่างขาดเพียงอย่างเดียว คือ “ความสุข” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น และก็ไม่เข้าใจคนอื่น จึงได้เริ่มศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากวันนั้นจนวันนี้
เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว ชีวิตก็ได้พบกับความสุขที่ควรจะเป็นเรื่องการปฏิบัติธรรมนั้น   

ดิฉันไม่ได้เก่งกล้าอะไรเลย รู้เพียงงูๆ ปลาๆประหนึ่งเด็กอนุบาลเท่านั้น แต่อย่างน้อยก็บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว คือแค่อยากมีความสุข ซึ่งความสุขของคนเรานั้น ไม่ได้ อยู่ที่ว่า เราได้ เรามี หรือเราเป็นอะไรหรอกนะคะ แต่อยู่ที่ใจของเรานี่เองว่าคิดอย่างไร เคยได้ยินไหมคะว่า “สุข หรือทุกข์อยู่ที่ใจ” นอกจากนี้ ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี แล้วสิ่งดีๆ ในชีวิตก็จะตามมาเอง โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนไขว่คว้าเลย

(จาก จุลสารสมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   )